วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557
Flip Your Fingers
Flip Your Fingers
นิ้วมือทั้ง 5
1. thumb ธัมบ์ นิ้วโป้ง
นิ้วโป้งจะมีชื่อเรียกแตกต่างจากทุกนิ้วค่ะ เพราะมีรากศัพท์มาจากคำว่า “tumon” ซึ่งเป็นภาษาProto-Germanic ที่แปลว่าอ้วน หรือหนา นิ้วโป้งมีลักษณะแตกต่างจากนิ้วอื่นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญมีข้อต่อ (joint) แค่ 2 ข้อเองนะ เวลาเรารู้สึกชอบหรือถูกใจอะไรก็กำหมัดแล้วชูนิ้วโป้งขึ้นมาได้ เรียกว่า thumbs-up ค่ะ
นิ้วโป้งจะมีชื่อเรียกแตกต่างจากทุกนิ้วค่ะ เพราะมีรากศัพท์มาจากคำว่า “tumon” ซึ่งเป็นภาษาProto-Germanic ที่แปลว่าอ้วน หรือหนา นิ้วโป้งมีลักษณะแตกต่างจากนิ้วอื่นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญมีข้อต่อ (joint) แค่ 2 ข้อเองนะ เวลาเรารู้สึกชอบหรือถูกใจอะไรก็กำหมัดแล้วชูนิ้วโป้งขึ้นมาได้ เรียกว่า thumbs-up ค่ะ
2. forefinger ฟอร์-ฟิงเกอะ นิ้วชี้
นิ้วชี้มักจะนิยมเรียกว่า index finger หรือ pointer finger เป็นนิ้วที่เราใช้งานได้คล่องแคล่วที่สุด เวลาชี้นิ้วไปที่ใครก็คิดให้ดีก่อนนะคะ เพราะในบางประเทศถือว่าการชี้นิ้วใส่คนอื่นเป็นการเสียมารยาท
นิ้วชี้มักจะนิยมเรียกว่า index finger หรือ pointer finger เป็นนิ้วที่เราใช้งานได้คล่องแคล่วที่สุด เวลาชี้นิ้วไปที่ใครก็คิดให้ดีก่อนนะคะ เพราะในบางประเทศถือว่าการชี้นิ้วใส่คนอื่นเป็นการเสียมารยาท
3. middle finger มิดดึ้ล-ฟิงเกอะ นิ้วกลาง
นิ้วกลางเป็นนิ้วที่ยาวที่สุด เราสามารถแสดง “ภาษามือที่ไม่สุภาพ” (obscene hand gesture) โดยการชูนิ้วกลางขึ้นมา เชื่อว่าหลายๆคนอาจรู้จักกันดี เราเรียกการชูนิ้วกลางว่า flip the bird หรือ to give the finger
นิ้วกลางเป็นนิ้วที่ยาวที่สุด เราสามารถแสดง “ภาษามือที่ไม่สุภาพ” (obscene hand gesture) โดยการชูนิ้วกลางขึ้นมา เชื่อว่าหลายๆคนอาจรู้จักกันดี เราเรียกการชูนิ้วกลางว่า flip the bird หรือ to give the finger
4. ring finger ริง-ฟิงเกอะ นิ้วนาง
ที่เรียกว่า ring finger เพราะเวลาเราแต่งงานฝ่ายหญิงก็จะสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนาง นี่เป็นเพราะความเชื่อสมัยโบราณที่ว่านิ้วนางมีเส้นเลือดที่เชื่อมไปถึงหัวใจ (การแพทย์ปัจจุบันพิสูจน์ได้แล้วว่าไม่เป็นความจริง) การใส่แหวนที่นิ้วนางเป็นการแสดงความซื่อสัตย์ (loyalty) ต่อกันค่ะ
ที่เรียกว่า ring finger เพราะเวลาเราแต่งงานฝ่ายหญิงก็จะสวมแหวนแต่งงานที่นิ้วนาง นี่เป็นเพราะความเชื่อสมัยโบราณที่ว่านิ้วนางมีเส้นเลือดที่เชื่อมไปถึงหัวใจ (การแพทย์ปัจจุบันพิสูจน์ได้แล้วว่าไม่เป็นความจริง) การใส่แหวนที่นิ้วนางเป็นการแสดงความซื่อสัตย์ (loyalty) ต่อกันค่ะ
5. little finger ลิตเดิ้ล-ฟิงเกอะ นิ้วก้อย
เรียกแบบน่ารักๆว่า pinky finger หรือสั้นๆว่า pinky ก็ได้ค่ะ มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเวลาสัญญาด้วยการเกี่ยวนิ้วก้อยกันด้วย ก็คือ pinky promise หรือ pinky swear นั่นเอง
เรียกแบบน่ารักๆว่า pinky finger หรือสั้นๆว่า pinky ก็ได้ค่ะ มีคำศัพท์ภาษาอังกฤษเวลาสัญญาด้วยการเกี่ยวนิ้วก้อยกันด้วย ก็คือ pinky promise หรือ pinky swear นั่นเอง
จบไปแล้
วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557
College Years
ศัพท์ภาษาอังกฤษชั้นปีในมหาวิทยาลัย
(College Years)
1. freshman – เฟรช-แม็น แปลว่า นักศึกษาปี 1 (first-year)
ส่วนใหญ่จะเห็นหลายๆคนเรียกกันว่าเฟรชชี่ ซึ่งถือเป็นภาษาพูดที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน แต่ในภาษาอังกฤษคำว่า freshie หมายถึงผู้อพยพ (โดยมากจะอพยพจากประเทศทางตะวันออกมาเข้าประเทศตะวันตก) และเป็นผู้อพยพที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เสียด้วยสิ เด็กปีหนึ่งถ้าอยากบอกฝรั่ง ก็ให้พูดว่า “I’m a freshman.” ถึงจะถูกต้องนะครับ ไม่ใช่ freshy ด้วย
ส่วนใหญ่จะเห็นหลายๆคนเรียกกันว่าเฟรชชี่ ซึ่งถือเป็นภาษาพูดที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน แต่ในภาษาอังกฤษคำว่า freshie หมายถึงผู้อพยพ (โดยมากจะอพยพจากประเทศทางตะวันออกมาเข้าประเทศตะวันตก) และเป็นผู้อพยพที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เสียด้วยสิ เด็กปีหนึ่งถ้าอยากบอกฝรั่ง ก็ให้พูดว่า “I’m a freshman.” ถึงจะถูกต้องนะครับ ไม่ใช่ freshy ด้วย
2. sophomore – ซอฟ-ฟะ-มอร์ แปลว่า นักศึกษาปี 2 (second-year)
มีรากศัพท์มาจากภาษา Greek คำว่า sophos ที่แปลว่าฉลาด (wise) กับ moros ที่แปลว่าโง่ (moron) เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และมีการลองผิดลองถูกsophomores ของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศก็เริ่มที่จะพิจารณาอาชีพที่อยากทำในอนาคต
มีรากศัพท์มาจากภาษา Greek คำว่า sophos ที่แปลว่าฉลาด (wise) กับ moros ที่แปลว่าโง่ (moron) เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ และมีการลองผิดลองถูกsophomores ของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศก็เริ่มที่จะพิจารณาอาชีพที่อยากทำในอนาคต
3. junior – จู-เนียร์ แปลว่า นักศึกษาปี 3 (third-year)
ฟังดูเหมือนจะเด็ก แต่ junior คือเด็กปี 3 แล้วนะครับ เป็นช่วงเวลาที่ต้องเลือกวิชาเมเจอร์กันแล้ว นอกจากนี้หลายๆคนอาจเลือกที่จะไปสมัครโครงการนักศึกษาฝึกงาน (internship) เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ หรืออาจเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมด้วย เป็นที่รู้จักว่าโครงการWork and Travel นั่นเอง
ฟังดูเหมือนจะเด็ก แต่ junior คือเด็กปี 3 แล้วนะครับ เป็นช่วงเวลาที่ต้องเลือกวิชาเมเจอร์กันแล้ว นอกจากนี้หลายๆคนอาจเลือกที่จะไปสมัครโครงการนักศึกษาฝึกงาน (internship) เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ หรืออาจเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมด้วย เป็นที่รู้จักว่าโครงการWork and Travel นั่นเอง
4. senior – ซี-เนียร์ แปลว่า นักศึกษาปี 4 (fourth-year)
ถ้าเราตั้งใจเรียน ทำคะแนนมาดีก็สามารถเรียนจบได้ภายในเวลาที่กำหนด (4 ปี) ถึงเวลานี้แล้วก็เตรียมตัวรับใบปริญญาบัตร (Bachelor’s Degree) ตามคณะที่เรียนมากันได้เลย ลองอ่านเกี่ยวกับเกียรตินิยมได้ที่นี่เลยนะค่ะ
5. super senior – ซู-เพอะ-ซีเนียร์ แปลว่า นักศึกษาที่เรียนมากกว่าที่หลักสูตรกำหนด
ในกรณีที่เราจำเป็นต้องดรอปเรียนไปบางตัว (withdraw) ก็ต้องเรียนต่อไปให้จบตามเงื่อนไขน่ะสิค่ะ น้องๆก็จะพากันเรียกเราว่า super senior หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปีเป้อร์ มานักต่อนักนั่นเอง
ในกรณีที่เราจำเป็นต้องดรอปเรียนไปบางตัว (withdraw) ก็ต้องเรียนต่อไปให้จบตามเงื่อนไขน่ะสิค่ะ น้องๆก็จะพากันเรียกเราว่า super senior หรือที่นิยมเรียกกันว่า ปีเป้อร์ มานักต่อนักนั่นเอง
เพิ่มเติมเล็กน้อย สำหรับนักศึกษาที่ต้องการจะลาออกจากคณะตนเองเพื่อมาสมัครเข้าคณะอื่นใหม่ หรือที่เรียกกันว่า “เด็กซิ่ล” (sil) นั้น ในภาษาอังกฤษก็มาจากคำว่า fossil ที่แปลว่า เก่า แก่นั่นเอง เด็กซิ่ลเลยต้องอยู่ต่อยาวไปอีกหน่อยค่ะ
รู้รึเปล่าว่า freshman, sophomore, junior, senior สามารถนำมาใช้กับโรงเรียนมัธยมศึกษาในต่างประเทศได้ด้วย โดย
freshman คือ นักเรียนชั้น ม.3
sophomore คือ นักเรียนชั้น ม.4
junior คือ นักเรียนชั้น ม.5
senior คือ นักเรียนชั้น ม.6
sophomore คือ นักเรียนชั้น ม.4
junior คือ นักเรียนชั้น ม.5
senior คือ นักเรียนชั้น ม.6
ช่วงเปิดเทอมนี้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสนุกกับชีวิตมหาวิทยาลัยนะค่ะ พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด ทั้งผ่านการทำกิจกรรม แล้วก็การเรียนหนังสือด้วย ขอยกข้อคิดจากคณะมาให้ดูกันอีกทีค่ะ “เกรดเฉลี่ยทำให้คนได้งานทำ กิจกรรมทำให้คนทำงานได้”
วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557
Give me your word
Give me your word
เรื่องของคำมั่นสัญญาในภาษาอังกฤษ

1. สัญญาทั่วๆไป
ใช้ประโยคที่ตรงตัวสุดๆ อย่าง “I promise.” (ฉันสัญญา) ได้เลยค่ะ นอกจากนี้ยังสามารถพูดว่า “You have my word.” ก็ได้ ซึ่งคำว่า word ในที่นี้คือคำมั่นของเรา นิยมใช้เวลาเราต้องการให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเราจะทำตามคำพูดนะ อาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆไปจนถึงเรื่องสำคัญ แล้วยังมีสำนวนหนึ่งที่น่าสนใจและใช้ได้จริงคือ “I’m a man of my word” แปลว่า ฉันเป็นคนรักษาคำพูด นั่นเอง
ใช้ประโยคที่ตรงตัวสุดๆ อย่าง “I promise.” (ฉันสัญญา) ได้เลยค่ะ นอกจากนี้ยังสามารถพูดว่า “You have my word.” ก็ได้ ซึ่งคำว่า word ในที่นี้คือคำมั่นของเรา นิยมใช้เวลาเราต้องการให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเราจะทำตามคำพูดนะ อาจเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆไปจนถึงเรื่องสำคัญ แล้วยังมีสำนวนหนึ่งที่น่าสนใจและใช้ได้จริงคือ “I’m a man of my word” แปลว่า ฉันเป็นคนรักษาคำพูด นั่นเอง
2. สัญญาที่สำคัญ และเป็นทางการ
ถ้าเป็นสัญญาที่สำคัญ จริงจัง เป็นทางการมากๆ ให้ใช้คำว่า pledge แทน มักจะใช้ในเรื่องของการแสดงความจงรักภักดีต่อบุคคล องค์กรหรือสถาบันต่างๆ สามารถเป็นได้ทั้ง noun (คำสัญญา) หรือ verb (สัญญา) ก็ได้นะค่ะ เช่น
I pledge my loyalty to His Majesty the King. (ข้าขอแสดงความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์)
I signed a pledge of money to a charity. (ฉันเซ็นต์ใบรับมอบเงินบริจาคให้องค์กรการกุศล)
ถ้าเป็นสัญญาที่สำคัญ จริงจัง เป็นทางการมากๆ ให้ใช้คำว่า pledge แทน มักจะใช้ในเรื่องของการแสดงความจงรักภักดีต่อบุคคล องค์กรหรือสถาบันต่างๆ สามารถเป็นได้ทั้ง noun (คำสัญญา) หรือ verb (สัญญา) ก็ได้นะค่ะ เช่น
I pledge my loyalty to His Majesty the King. (ข้าขอแสดงความจงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์)
I signed a pledge of money to a charity. (ฉันเซ็นต์ใบรับมอบเงินบริจาคให้องค์กรการกุศล)
3. คำปฏิญาณตน
สำหรับคำปฏิญาณตน หรือเกี่ยวข้องกับคำปฎิญาณในเชิงศาสนา ก็ให้ใช้คำว่า swear (สาบาน)แทน ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เราจะพูดต่อจากนี้เป็นความจริง เหมือนที่เราได้ยินบ่อยๆในหนังเวลาที่ใครจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญ
สำหรับคำปฏิญาณตน หรือเกี่ยวข้องกับคำปฎิญาณในเชิงศาสนา ก็ให้ใช้คำว่า swear (สาบาน)แทน ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เราจะพูดต่อจากนี้เป็นความจริง เหมือนที่เราได้ยินบ่อยๆในหนังเวลาที่ใครจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญ
Note: swear ยังหมายถึง คำสบถ อีกด้วยนะ เช่น
Jack is being seriously annoying, so I swear at him pretty badly. (แจ็คทำตัวกวนบาทาสุดๆ ฉันก็เลยด่ามันไปซะเยอะเลย)
Jack is being seriously annoying, so I swear at him pretty badly. (แจ็คทำตัวกวนบาทาสุดๆ ฉันก็เลยด่ามันไปซะเยอะเลย)
4. คำสาบานในงานแต่งงาน
คำว่า vow (ฟาว) คือคำมั่นสัญญาที่มักจะถูกใช้ในงานแต่งงานบ่อยที่สุดนะครับ มีใครเคยดูหนังรักเรื่อง The Vow บ้างเอ่ย มีประโยคหนึ่งที่พระเอกให้สัญญากับนางเอกว่า “I vow to fiercely love you in all your forms, now and forever. I promise to never forget that this is a once in a lifetime love.” หมายความว่ายังไงลองแปลกันดูนะครับ มีแต่สัญญารักเต็มไปหมดเลยแฮะ
คำว่า vow (ฟาว) คือคำมั่นสัญญาที่มักจะถูกใช้ในงานแต่งงานบ่อยที่สุดนะครับ มีใครเคยดูหนังรักเรื่อง The Vow บ้างเอ่ย มีประโยคหนึ่งที่พระเอกให้สัญญากับนางเอกว่า “I vow to fiercely love you in all your forms, now and forever. I promise to never forget that this is a once in a lifetime love.” หมายความว่ายังไงลองแปลกันดูนะครับ มีแต่สัญญารักเต็มไปหมดเลยแฮะ
แต่ถ้ามีคนมาผิดสัญญากับเรา ก็ให้ใช้คำว่า break หรือ went back on ได้เลยค่ะ เช่น
He broke his promise. (เขาทำผิดสัญญา)
He went back on his word. (เขาไม่รักษาคำพูด)
He went back on his word. (เขาไม่รักษาคำพูด)
ถ้าเป็นการทำผิดสัญญาทางธุรกิจก็ให้ใช้คำว่า breach แทน เช่น
We decided to part ways with our partner because they breached our contract.
เราตัดสินใจแยกทางกับคู่ค้า เพราะพวกเขาทำผิดสัญญา
We decided to part ways with our partner because they breached our contract.
เราตัดสินใจแยกทางกับคู่ค้า เพราะพวกเขาทำผิดสัญญา
วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557
วันพ่อแห่งชาติ
การเรียกวันพ่อแห่งชาติเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าจะให้เรียก “วันพ่อแห่งชาติ” เป็นภาษาอังกฤษ เราสามารถใช้คำว่า National Father’s Dayหรือใช้แบบสั้นๆ ว่า Father’s Day ก็ได้

แต่เนื่องจากวันพ่อนั้น แต่ละประเทศเขามีกำหนดวันไม่เหมือนกัน บางประเทศก็ไม่มี บางประเทศก็ไม่หยุด ฝรั่งเขามักจะไม่เข้าใจว่าทำไม “วันพ่อ” ถึงเป็นวันหยุด แถมถ้าบอกไปว่าวันนี้เป็น Father’s Day อาจจะงงซะอีก
ดังนั้นถ้าใช้คำว่า King’s Birthday ทางฝรั่งจะเข้าใจมากกว่าว่าเป็นวันอะไร และทำไมถึงเป็นวันหยุด หรือจะใช้ชื่อเต็มภาษาอังกฤษว่า His Majesty the King’s Birthday ก็ได้ค่ะ แต่คำหลังที่เป็นคำเต็มนี้มักจะใช้แค่ในภาษาเขียนแบบเป็นทางการ หรือในโอกาสพิธีสำคัญเท่านั้น ถ้ามีเพื่อนฝรั่งพูดเต็มๆก็อาจดูเป็นทางการมากไป
คำศัพท์ภาษาอังกฤษน่ารู้ในวันพ่อแห่งชาติ
Long live the King อ่านว่า ลอง-ลิฟ นะค่ะ ไม่ใช่ ลอง-ไลฟ์
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ
His Majesty the King เป็นคำนำหน้าที่ยกย่องให้เกียรติ เทิดพระเกียรติ โดยจะใช้นำหน้าอะไรที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์
ถ้าสำหรับพระราชินีก็ต้องใช้ Her Majesty the Queen นั่นเองค่ะ
ถ้าสำหรับพระราชินีก็ต้องใช้ Her Majesty the Queen นั่นเองค่ะ
national holiday อ่านว่า แน-เชิน-เนิล- ฮอ-ลิ-เดย์
วันหยุดราชการ
วันหยุดราชการ
make merit อ่า่นว่า เมค-เมริท
ทำบุญ
ทำบุญ
“Happy Father’s Day”
“F”aithful – ซื่อสัตย์
“A”lways there – อยู่รอเราเสมอ
“T”rustworthy – เชื่อใจได้
“H”onoring – มีเกียรติ
“E”ver-loving – มีความรักให้เราตลอดไป
“R”ighteous – มีความยุติธรรม
“A”lways there – อยู่รอเราเสมอ
“T”rustworthy – เชื่อใจได้
“H”onoring – มีเกียรติ
“E”ver-loving – มีความรักให้เราตลอดไป
“R”ighteous – มีความยุติธรรม
วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
เทคนิคการฟังภาษาอังกฤษ
เทคนิคการฟังภาษาอังกฤษ

กุญแจสำคัญคือการฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษ
การฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษจะช่วยให้เราทำความคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา นอกจากนี้เราจะได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่วๆไปด้วย สิ่งนี้หาได้ยากมากตามหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ การฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษด้วยตนเองจะเปิดโอกาสให้เราฝึกพูดตามไปด้วย ต่างจากการดูหนังภาษาอังกฤษที่อาจมีการใช้คำยากๆ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาดีพอ แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาคอยเปิด Dictionary ตีความหมายเอาเอง
การที่จะเก่งภาษาอังกฤษให้ได้เราต้องฟัง “อย่างเข้าใจ” และ “อย่างต่อเนื่อง”
- ฟังอย่างเข้าใจ – ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะไม่เรียนรู้อะไรเลย นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมดูข่าวภาษาอังกฤษมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไรเลย เราไม่เข้าใจเพราะมันเร็วและยากเกินไปไงล่ะ ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็ยากที่จะเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดได้หลายคนพยายามฝืน ฝึกฟังภาษาอังกฤษที่ยากและซับซ้อน ทำให้พัฒนาได้ช้าพอสมควร ดังนั้นหลักการสำคัญคือ “ง่ายๆ” เข้าไว้ครับ จะเก่งเร็วกว่าเยอะเลย
- ฟังอย่างต่อเนื่อง - แค่เข้าใจไม่พอ แต่ต้องฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องด้วย ลองคิดดูครับ ถ้าเราได้ยินศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่แค่ครั้งเดียว ต้องลืมแน่ๆ ถึงฟังไป 5-10 ครั้งก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี มันต้องผ่านหูนับครั้งไม่ถ้วนกว่าเราจะซึมซับจดจำ และเข้าใจได้ในทันทีที่ได้ยินอย่าว่าแต่ฟัง 10 ครั้งเลยครับ ถ้าอยากเก่งจริงๆก็ต้องฟังอย่างน้อย 50-100 ครั้งโน่นกว่าเราจะเข้าใจคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ทันทีที่เห็น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)